ป่าดงดิบอเมซอน หรือที่หลายๆ คนรู้จักกันดีในอีกหลายๆ ชื่ออย่าง อเมซอนเนีย หรือ ป่าอเมซอน ถือเป็นป่าไม้เขตร้อนขนาดใหญ่ปกคลุมไปทั่วลุ่มน้ำอเมซอนของทางอเมริกาใต้ ลุ่มแม่น้ำมีรัศมี 2.7 ล้านตารางไมล์ พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยกลุ่มประเทศทั้ง 9 โดยประเทศบลาซิลได้พื้นที่ป่ากว่า 60% ตามมาด้วยเปรู 13% และโคลอมเบีย ส่วนที่เหลือเป็นของ เวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาเม และเฟรนช์เกียนา

คงจะแปลกใจไม่น้อยถ้าคุณรู้ว่าที่ป่าอเมซอนนั้น ได้รับการบำรุงส่วนใหญ่ด้วยฝุ่นที่พัดมาจากทะเลทรายซาฮาร่า ฝุ่นที่พัดมาพวกนี้มีส่วนประกอบของฟอสฟอรัสจำนวนมาก ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของต้นไม้ทุกชนิด ซึ่งในทุกๆ ปีทะเลทรายซาฮาร่าจะเก็บสะสมฟอสฟอรัสจำนวนมาก และในท้ายที่สุดพวกฝุ่นเหล่านี้จะถูกพัดพามาถึงป่าอเมซอน โดยคิดเป็นราวๆ 56% ของปริมาณฝุ่นปุ๋ยที่ได้รับทั้งหมด ฝุ่นจำนวนกว่า 50 ล้านตันถูกพัดข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกทุกๆ ปี ดาวเทียมสำรวจของนาซ่าได้ตรวจจับปริมาณกว่า 182 ล้านตันถูกพัดไปยังป่า กินระยะทางกว่า 2,600 กิโลเมตร ฝุ่นบางส่วนถูกพัดตกยังแอตแลนติก ฝุ่นที่เหลือบางส่วนจะถูกพัดไปยังสถานที่ต่างๆ ใกล้เคียงกับเส้นทางหลักของพวกมัน

ด้วยความเจริญสมบูรณ์ของป่าดงดิบแห่งนี้ ทำให้พวกมันเป็นแหล่งที่น่าสนใจของมนุษย์ในกาดำรงชีพ พื้นที่ป่าบางส่วนถูกทำลายลง เพื่อนำไปสร้างอาณานิคม หรือหมู่บ้านต่างๆ จนกระทั่งก่อนช่วงต้นทศวรรษ 1960 พื้นที่ป่าส่วนในถูกกำหนดให้เป็นเขตหวงห้าม จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปทำลายป่าทำให้บริเวณส่วนใหญ่ของป่าอเมซอนยังคงสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามปัญหาก็ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ จากการเติบโตของอาณานิคมทำให้ต้องมีการทำเกษตรมากขึ้น หมายถึงต้องการพื้นที่บริเวณเพิ่มเติม พวกเขาเผาละทำลายป่า บางส่วนก็พบปัญหาในการจัดการพืชผล เนื่องจากดินในอเมซอนขาดความสมูบรณ์ ในทุกปีจะมีบางช่วงเวลาเท่านั้นที่ดินภายในป่าจะเหมาะแก่การเพาะปลูก จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาเหล่านี้จะเขยิบที่ดินเข้าไปในป่าลึก ผลพวงของการทำลายป่าสามารถมองเห็นได้ไกลจากชั้นบรรยากาศโลก โดยเฉพาะดาวเทียม หรือสถานีอวกาศที่ถ่ายภาพกลับส่งมายังโลก ทำให้มนุษย์ต้องตกใจที่ได้เห็นต้นไม้มากมายหายไปเป็นรัศมีกว้างอย่างน่าเหลือเชื่อ